ผบช.สตม.แถลงจับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงลงทุนเกร็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FOREX)

 

ผบช.สตม.แถลงจับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงลงทุนเกร็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FOREX)

ด้วยศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม./รอง ผอ.ศปอส.ตร. , พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. ได้รับร้องเรียนจากประชาชนกว่า 100 คน ซึ่งตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพ หลอกลวงนำเงินมาลงทุนเกร็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินตราต่างประเทศการันตีผลตอบแทนสูง มูลค่าความเสียหายมากกว่า 100 ล้านบาท เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และประสานพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจดำเนินคดีตามกฎหมาย

​จากการสืบสวนทราบว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้ คือ บริษัท มาร์เก็ตเทียร์ เซอร์วิส จำกัด โดย นายพิตตินันท์ มีธง กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท , นายธนัตถ์ บวรภัทรนันท์ นายพิเชษฐ์ หรือพัชรนันท์ โรจนเสถียร กับพวก โดยนายธนัตถ์ฯ และนายพิเชษฐ์ฯ กับพวก มีหน้าที่ร่วมกันชักชวนหาผู้ลงทุนเกร็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ(Forex) โดยการโพสต์เฟซบุ๊ค ชื่อ “EA ARBITRAGE” การันตีกำไร ผลตอบแทนสูง ร้อยละ 25-40 ต่อเดือน หรือ ร้อยละ 5-15 ต่อสัปดาห์ ถ้าได้กำไรสามารถถอนกำไรได้ทุกสัปดาห์ หากขาดทุนจะเยียวยาให้เท่ากับเงินลงทุนที่ผู้ลงทุนได้ลงทุนไป จะต้องลงขั้นต่ำจำนวน 500-10,000 ดอลล่าห์สหรัฐ (คิดอัตรา 1 เหรียญต่อ 33.80 บาท) ถ้าได้ผลตอบแทน 100 เปอร์เซ็นต์ ผู้ลงทุนจะได้รับ 70 เปอร์เซ็นต์ หักค่าเทรดจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ และค่าดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เดือนละ 700 บาท มีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อโอนเงินไปยังบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งในช่วงแรกได้รับผล ตอบแทนจริงตามที่กำหนด ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาไม่จ่ายผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ ผู้เสียหายบางรายถูกเทรดจนพอร์ทการลงทุนติดลบ บางรายไม่สามารถถอนผลกำไรจากพอร์ทการลงทุนได้ โดยกลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าระบบคอมพิวเตอร์มีปัญหา และหากผู้ลงทุนต้องการถอนผลกำไรจะต้องหาผู้ร่วมลงทุนได้เพิ่มเติมจึงจะถอนผลกำไรได้ หรือได้รับการเยียวยาคืนเงินต้นที่ลงทุนไป และบางรายถูกกลุ่มผู้ต้องหาปิดพอร์ทการลงทุนไป

​พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลอาญา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง,ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”​
​ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธร

ภาค 1 , 5 และกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้บูรณาการกำลัง เข้าตรวจค้นที่ตั้งบริษัท มาร์เก็ตเทียร์ เซอร์วิส จำกัด บ้านพักผู้ต้องหา และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา จำนวน 6 จุดทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 รายในคดีนี้ ตรวจยึดทรัพย์สินมีค่าซึ่งเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด มูลค่าประมาณกว่า 22 ล้านบาท นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”ระวางโทษ “จำคุกไม่เกิน3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83
ความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ความผิดฐาน “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 – 10 ปี ปรับ 5แสน – 1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่” ตาม พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 , 5 , 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ระวางโทษ “จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14(1)