ตำรวจขอนแก่น รับแจ้งความแล้ว พร้อมแนะผู้เสียหายที่ถูกแชร์ “บ้านภัทร”เชิดเงินเข้าแจ้งความ

ตำรวจขอนแก่น รับแจ้งความแล้ว พร้อมแนะผู้เสียหายที่ถูกแชร์ “บ้านภัทร”เชิดเงินเข้าแจ้งความเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำผิดทั้งขบวนการ เบื้องต้นพบผู้เสียหายแจ้งจับแล้วทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ มูลค่าความเสียหายนับล้านบาท 

จากกรณีที่มีผู้เสียหายในเขต จ.ขอนแก่น เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่น เพื่อให้  พล.อ.ประยุทธ์  จันโอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น   จัดการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ยังคงกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หลังจากที่ไม่สามารถแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเวรฯบอกว่าไม่เคยทำคดีในลักษณะเช่นนี้  โดยผู้เสียหายดังกล่าวถูกพนักงานสาวรัฐวิสาหกิจรายหนึ่งชักชวนเล่นแชร์ในชื่อ “แชรบ้านภัทร” ก่อนที่จะเชิดเงินหลบหนีไป โดยมีผู้เสียหายกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศจำนวนมากตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น  

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18 พ.ค.2564 ที่ศูนย์ปฎิบัติการส่วนหน้า หรือ ศปก.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.อ.ปรีชา  เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแกน พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธน  พรรณนานนท์ ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองขอนแก่น นำพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญในคดีฉ้อโกง สภ.เมืองขอนแก่นรับแจ้งความจาก น.ส.มาฆพร  ก้านพลูอายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 157 ม.28 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้เสียหายที่ถูกเจ้ามือหรือท้าวแชร์บ้านภัทร ฉ้อโกงเงินไปรวมกว่า 130,000 บาท ภายหลังจากเมื่อวานที่ผ่านมา ( 17 พ.ค.) เจ้าตัวพร้อมผู้เสียหายจำนวนหนึ่งได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าไม่เคยทำคดีในลักษณะเช่นนี้มาก่อนจึงไม่สามารถรับแจ้งความได้ โดยในการรับแจ้งความและร่วมพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เสียหายใช้เวลานานกว่า 30 นาที ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปใน ศปก.สภ.เมืองขอนแก่น แต่อย่างใด  

  พ.ต.อ.ปรีชา  เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญคดีฉ้อโกง ทำการรับแจ้งความและสอบปากคำผู้เสียหายรายนี้แล้ว ซึ่งหลังจากรับแจ้งความตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว จะทำการสอบปากคำเพิ่มเติมผู้เสียหายรายนี้ เพื่อเอาผิดกับผู้ต้องหาตามที่ระบุ โดยในเบื้องต้นพบว่าผู้เสียหายมีเอกสารหลักฐานต่างๆบางส่วน จึงได้ขอเอกสารเพิ่มเติมในการเร่งรัดสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าวนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

“ การที่พนังกานสอบสวนไม่รับแจ้งความนั้นอาจจะเกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะในเรื่อขงเอกสาร หลักฐานที่ผู้เสียหายต้องนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่แต่วันนี้ เจ้าหน้าที่และผู้เสียหายได้พูดคุยกันแล้วและเข้าสู่ขั้นตอนของการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งในเบื้องต้นพบว่าเจ้ามือหรือท้าวแชร์ในชื้อกลุ่มแชร์บ้านภัทร ตามหลักฐานที่ผู้เสียหายนำมาแสดงนั้นมีตัวตนจริง ซึ่งจะมอบให้กับชุดสืบสวนดำเนินการามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ดีขอให้ผู้เสียหายที่ถูกกลุ่มขบวนากรดังกล่าวฉ้อโกงเงินไปขอให้เข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้พบว่าผู้เสียหายจำนวนหนึ่งได้แจ้งความแล้วที่ สน.ราษฎร์บูรณะ และที่ จ.เชียงใหม่    ซึ่งจะมีการประสานขอเอกสารการแจ้งความเพื่อนำมาประกอบสำนวนในการเอาผิดกับเจ้ามือรายนี้ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงต่อไป” 

ขณะที่ น.ส.มาฆพร  ก้านพลู กล่าวว่า เจ้ามือที่ฉ้อโกงรายนี้มีผู้เสียหายนับร้อยรายกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งตัวเจ้ามือนั้นเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือและรับเล่นแชร์มาตั้งแต่ปี 2561 ในชื่อแช่บ้านภัทร   (น.ส.ภัทราวดี  เหล่าวงศ์ษา)   โดยได้ชวนเพื่อนๆเล่นแชร์กันตั้งแต่ต้นปี 2561 ทั้งหมด 2 รูปแบบคือแชร์เงินอมเงินต้น 100,000 บาทและแชร์แจกดอกกองละ 10,000 บาท โดยที่ตนเองนั้นตัดสินใจร่วมเล่นแชร์ กับท้าวแชร์รายนี้ เริ่มจากแชร์เงินออมซึ่งมีผู้ร่วมเล่นด้วยกันทั้งหมด 19 คน ซึ่งตนเองเป็นคนที่ 15 ที่ต้องจ่ายเงินออมให้กับวงเป็นจำนวนเงินเดือนละ 4,800 บาท เริ่มจ่ายมาตั้งแต่เดือน ก.พ.2561 และหากครบกำหนด 15 เดือนจะได้รับเงินจำนวน 100,000 บาทขณะเดียวกันยังคงเล่นแชร์แจกดอก กองละ 10,000 บาท ซึ่งท้าวแชร์กำหนดว่าจะปันกำไรหรือดอกเบี้ย คือ 5 วันได้รับเงิน 500 บาท 10 วัน ได้รับดอกเบี้ย 1,000 บาท สูงสุด 35 วันได้รับดอกเบี้ย 3,000 บาท แต่ท้าวแชร์ก็เชิดเงินและไม่มีการโอนเงินให้มาตั้งแต่ปี 2563 จากนั้นไม่สามารถที่จะติดต่อได้ 

“ดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มารับเรื่องและรับฟังกับปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน และไม่ขอติดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา เพราะได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานแล้ว ที่ได้ลงมารับเรื่องด้วยตัวเอง ดังนั้นจากนี้ไปคือการให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ในการส่งมอบเอกสารหลักฐานต่างๆเพื่อเอาผิดกับคนที่กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ และขอให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายที่กระจายอยู่ทั้งประเทศ ซึ่งนับรวมมูลค่าความเสียหายที่เจ้ามือรายนี้กระทำนับล้านบาทได้ออกมาแสดงตัวและแจ้งความเอาผิดกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมายและจะได้ไม่ไปหลอกลวงคนอื่นๆอีก”