สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจงผลการดำเนินการและสถิติ การรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงผลการดำเนินการและสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ปัจจุบันรูปแบบการกระทําผิดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี และวิถีการดํารงชีวิตยุคใหม่ มีประชาชนจํานวนมาก ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง ซึ่งนับวันยิ่งทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายในวงกว้างมากยิ่งขึ้น การกระทําความผิดมีหลากหลายรูปแบบ หลายวิธีการ มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้กระทําความผิดมีทั้งกระทําคนเดียว และกระทําเป็นกลุ่มก้อน หรือองค์กรอาชญากรรม การกระทําความผิดเกิดขึ้นทั้งจากภายในประเทศและจากภายนอกประเทศ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ มีทุกเพศ ทุกวัย และแทบจะทุกอาชีพ มูลค่า ความเสียหาย มีเป็นจํานวนมาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อภัยทางสื่อสังคมออนไลน์ที่หลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับประชาชน จึงมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งความออนไลน์คดีทางเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการระบบรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขึ้น และได้กำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายขึ้น และช่วยทําให้การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตํารวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถที่จะจับกุมผู้กระทําความผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้

หลังจากที่ได้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์เฉพาะคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ก็ได้มีประชาชนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการรวบรวมสถิติพบว่ามีการแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1-18 มี.ค.65 มีการแจ้งความรวมแล้วกว่า 4,200 เรื่อง แยกประเภทที่รับแจ้งได้แก่ การหลอกลวงด้านการเงิน จำนวนกว่า 2,200 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ52 ,หลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์ จำนวนกว่า 800 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ19 ,ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯและพนันออนไลน์ จำนวนกว่า 80 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ2, และเรื่องอื่นๆกว่า 1,100 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 26 โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการอายัดบัญชีธนาคารรวมยอดเงินกว่า 13,000,000 บาท โดยได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 450 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3,750 เรื่อง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอฝากเตือนภัยจากมิจฉาชีพและการกระทำความผิดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในทุกรูปแบบ ซึ่งมีรูปแบบการหลอกลวงที่มีความซับซ้อนปรับเปลี่ยนวิธีการและพัฒนาไปตามเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้าง ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและข่าวสารต่างๆให้ดีและรอบด้านเสียก่อน


โดยการแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ เป็นการช่วยกลั่นกรองตรวจสอบ วิเคราะห์ความเชื่อมโยงของคดีว่าหน่วยใดจะเป็นผู้รับผิดชอบและการสืบสวนสอบสวนก็สามารถดำเนินการได้ทันที ตั้งแต่ได้รับข้อมูลจากผู้บริหารการรับแจ้ง(Admin)ไม่ต้องรอให้ผู้เสียหายมาพบพนักงานสอบสวน ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวนสามารถเตรียมตัว ตั้งประเด็นและวางแผนการสอบสวนได้ล่วงหน้า การอายัดบัญชี การยับยั้งธุรกรรมทางการเงิน สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น เมื่อมีคดีความเกิดขึ้น ผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการรับคำร้องทุกข์หรือคํากล่าวโทษอยู่แล้ว ระบบรับแจ้งความออนไลน์มิใช่การเพิ่มภาระ เพิ่มคดีให้มากขึ้น แต่เป็นการบริหารจัดการ เวลา เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อประชาชน พร้อมขอประชาสัมพันธ์สิ่งที่ประชาชนต้องเตรียมเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการแจ้งความผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ดังนี้


1.บัตรประจำตัวประชาชน ควรอยู่กับตัว เนื่องจากในการลงทะเบียนจะต้องกรอกข้อมูล ทั้งหมายเลขบัตรและหมายเลขหลังบัตรประชาชน เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน
2.อีเมล ผู้แจ้งควรจะต้องมีอีเมลส่วนตัว เพราะหลังจากกรอกรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ระบบจะส่งรหัส OTP ผ่านทางอีเมล เพื่อจะนำมากรอกในระบบ เพื่อยืนยันตัวตนผู้แจ้ง และจะเข้าสู้กระบวนการถัดไป
3.ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคดี ทั้งข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งและข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหาเท่าที่ทราบได้แก่ ชื่อ นามแฝง เลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคารที่ใช้ในการทำธุรกรรม ช่องทางติดต่ออื่น ๆ เช่น Line Facebook Instagram Twitter เป็นต้น รวมถึงรูปแบบคำโฆษณาของเหล่ามิจฉาชีพ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีอื่น ๆ ที่เคยแจ้งมาก่อน และจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบหาคนร้ายที่ทำในรูปแบบขบวนการ

หากประชาชนพบข้อขัดข้องใดๆ ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนหมายเลข 1441 หรือหมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 ตลอด 24 ชั่วโมง