พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ร่วมตร.กัมพูชา “บุกช่วยคนไทยถูกบังคับทำคอลเซ็นเตอร์ กลางเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา”

จากการที่มีคนไทยถูกหลอกลวงมาทำงานในประเทศกัมพูชาจากการหางานผ่านสื่อโซเชียลเช่น Facebook twitter ว่ามีรายได้ดี ทำงานสบาย แต่เมื่อเดินทางมาถึงกลับพบว่าถูกบังคับให้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือหลอกลวงให้ลงทุน ทำให้คนไทยถูกหลอกลวงหลายร้อยล้านบาทต่อเดือน หากรายใดไม่ยินยอมที่จะทำงานผิดกฎหมายก็จะถูกทำร้าย ถูกขายต่อไปยังจุดอื่น ถูกกักขัง หรือถูกเรียกค่าไถ่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างประเทศกันมาโดยตลอด จนสามารถช่วยเหลือคนไทยในประเทศกัมพูชามากกว่า 200 ราย และสามารถออกหมายจับในความผิดฐานค้ามนุษย์และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการดำเนินคดีกับกลุ่มแก๊งนำพาคนไทยที่ถูกหลอกลวงออกตามช่องทางธรรมชาติเพื่อมาทำงานในประเทศกัมพูชา ซึ่งล้วนมีผลให้ประเทศไทยอาจถูกลดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์จากทางการสหรัฐฯ ลงเป็นอันดับประเทศที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) ตามที่ทราบแล้ว นั้น


จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเร่งด่วน รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกลวงดังกล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. ดำเนินการสืบสวน ติดตาม จับกุมทลายเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือคนไทยเดินทางกลับมายังประเทศไทย จนสืบทราบว่ามีเครือข่ายอยู่ตามเมืองต่างๆ ที่นำโดยคนจีน ลงมือกักขัง บังคับควบคุมคนไทย่ให้ทำผิดกฎหมายและมีคนไทยต้องการความช่วยเหลือ โดยส่งข้อมูลตามจุดที่ถูกควบคุมที่อยู่ในโรงแรม อาคาร ตึกร้าง โดยเชื่อว่ามีคนไทยมากกว่า 1500 คน


ต่อมาวันที่ 6 เม.ย.65 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รอง ผอ.ศพดส.ตร. , พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ โชคชัย รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. , พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จว.ตราด ร่วมประชุมหารือ กับพล.ต.ท.สม วรรณวีระ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประเทศกัมพูชา ประสานความร่วมมือและดำเนินการสืบสวนตามข้อมูลที่ได้รับ


ต่อมา ภายใต้การประสานงานความร่วมมือของตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 10 เม.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา ได้เข้าช่วยเหลือคนไทยภายในอาคารทาวน์โฮมหรู 10 ชั้น ถนน 149 ซี เขต 4 เมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา มีเหล็กดัด รปภ. และกล้องวงจรปิด ป้องกันการหลบหนี พบคนดูแลเป็นหญิงกัมพูชา ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา เข้าพบคนไทย โดยอ้างว่ากลุ่มคนไทยทั้งหมดที่ถูกควบคุมอยู่นั้นติดหนี้สินในการทำงาน ต้องนำเงินจำนวน 1500 ดอลลาห์ มาให้จึงจะได้รับการปล่อยตัว โดยระหว่างการเจรจาเริ่มมีปากเสียงกันระหว่างเจ้าหน้าที่ และกลุ่มคนจีน ใช้เวลาในการพูดคุยนานกว่า 8 ชม. จนสามารถนำคนไทยที่ต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 24 ราย ออกมาได้อย่างปลอดภัย โดยมีบางรายเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยถึงกับร้องไห้หลั่งน้ำตา โดยประสงค์จะขอเดินทางกลับบ้านโดยเร็วที่สุด


ขณะที่อีกชุดปฏิบัติการ เข้าตรวจค้นอาคารเป้าหมายอีก 2 จุดกลางกรุงพนมเปญ พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อพยพหนีออกจากตึกก่อนตำรวจเข้าตรวจค้น เหลือเพียงห้องโล่งและโต๊ะ รวมทั้งเอกสารบางส่วน


โดยหลังจากการปฏิบัติการใน 2 เมือง ทั้ง 2 วันที่ผ่านมา กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ได้นำคนไทยมาปล่อยข้างทางภายในเมืองพระสีหนุ อีกจำนวน 7 ราย รวมคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือ ทั้งสิ้น 31 ราย และจะมีการสอบสวนปากคำตามขั้นตอนกฎหมายของประเทศกัมพูชา


พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า การทำงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากตำรวจกัมพูชา จนสามารถทำให้เราช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการเดินทางกลับไปยังประเทศไทย และจะประสานกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอขยายผลในการเข้าจุดอื่นๆ อีก ซึ่งจากการพูดคุยกับคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา มีบางคนพบเห็นการถูกทำร้าย กักขัง และข่มขู่เพื่อให้ยินยอมในการทำคอลเซ็นเตอร์ หรือการหลอกลวงคนไทยให้ได้ทรัพย์สิน โดยมีคนไทยยังถูกบังคับอยู่กว่า1500 ราย รวมทั้งเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้อีกด้วย